วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เลือกที่จะลิขิตชีวิตเอง


     จากการที่ได้เรียนรู้จากการสัมนาในครั้งนี้ ทั้งวิชาการ หลักการทำงาน แนวทางปฏิบัติตนเพื่อที่จะหาความสำเร็จให้ได้ในอาชีพตัวแทนประกันชีวิต ทำให้ผมมองเห็นภาพฝันใหม่ที่ชัดเจนมากขึ้น มองเห็นภาพของตนเองในวันข้างหน้าที่จะเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีโอกาสสำเร็จในการทำงาน ความก้าวหน้าที่สามารถกำหนดได้ การเปลี่ยนแปลงของรายได้ การพัฒนาตนเอง พร้อมมีรางวัลชีวิตให้กับตนเองที่เกิดมาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเอง โดยตัวเราเป็นคนสร้างขึ้นมา ผมเริ่มทบทวนอย่างหนักที่จะตัดสินใจเลือกชีวิตใหม่ เมื่อผมกลับจากสัมนาครั้งนั้น ผมตัดสินใจยื่นเรื่องขอลาออกจากราชการ ซึ่งอายุราชการของผมกำลังจะครบ 15 ปีในวันที่ 30 เมษายน 2535 โดยมีอายุราชการบวกทวีคูณระหว่างการปฏิบัติราชการชายแดนรวมทั้งหมด 22 ปี 7 เดือน ผมตัดใจถูกหรือผิด ผมไม่จำเป็นต้องปรึกษาใครอีกแล้ว ผมพูดกับตนเอง ผมปรึกษากับตนเอง ผมรู้ว่าผมคือนักสู้คนหนึ่ง ผมมีเลือดนักสู้ของคุณพ่อเสนาะ พิศนุภูมิ อยู่ในกระแสเลือดทุกหยด ผมมีความกล้าหาญอยู่ในตนเอง เพราะผ่านประสบการณ์การต่อสู้ การเรียนรู้ที่จะเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ที่เลวร้าย แม้แต่ความตายผมก็ยังไม่เคยกลัวตายในสนามรบ กลับคิดอยากตายในสนามรบด้วยซ้ำ เพราะคำกล่าวปฏิญาณตนของทหารที่กล่าวว่า “ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร” .... ผมพร้อมที่จะฝ่าฟัน ผมพร้อมที่จะมุ่งไปข้างหน้า ผมเชื่อว่าในเมื่อทุกคนที่เคยเข้ามาสัมผัสกับงานประกันชีวิตทำได้ ....สำหรับผมนายพิชิต พิศนุภูมิ ต้องทำได้เช่นเดียวกัน ..... ผมรอเวลาที่จะให้อายุราชการครบ 15 ปี พอทราบข่าวจากเพื่อนๆที่อยู่วงในบอกมาว่าทางกรมฯ ไม่เห็นชอบต่อการลาออก แต่ผมโชคดีที่ยังมีเพื่อนๆ ที่รับรู้ความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวของผม ได้รายงานเสนอให้ท่านเจ้ากรมฯทราบว่า คุณพิชิต พิศนุภูมิตั้งใจไปทำงานนี้แล้ว คงรั้งไว้ไม่อยู่ หนังสือลาออกของผมจึงได้รับการอนุมัติให้ลาออกในเวลาต่อมา


ทุกท่านที่รักครับ ชีวิตการเป็นตัวแทนของผมไม่ได้สวยหรูตั้งแต่แรก เป็นชีวิตที่ดิ้นรน ฝ่าฟันในทุกๆด้าน ทั้งความรู้เกี่ยวกับงานขาย ทัศนคติส่วนตัว ความเป็นตัวตนของตัวเองสำหรับการเป็นทหารมาอย่างยาวนาน นั่นคือความแข็งกระด้าง ยอมหักไม่ยอมงอ ในช่วงเวลาที่ผมกำลังจะลาออกจากอาชีพรับราชการทหาร อาชีพที่เป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่อันเป็นที่รักเคารพของผมอย่างที่สุด โดยส่วนตัวแล้วผมไม่อยากให้ท่านรู้เร็วเกินไปนัก ยังหาโอกาสที่เหมาะบอกกับท่านไม่ได้ ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ..... แล้ววันหนึ่งก็มาถึง วันที่ผมกลับไปหาคุณพ่อกับคุณแม่ที่จังหวัดชัยนาท คุณพ่อท่านอยู่บ้านเพียงลำพัง เมื่อท่านทราบข่าวว่าผมกำลังจะลาออกจากการรับราชการทหาร ท่านรู้สึกเป็นห่วงอย่างมากและอยากให้รับราชการมากกว่า แม้จะอธิบายเหตุผลหลายอย่าง ท่านก็ย้ำเตือนว่างานประกันชีวิตเป็นงานที่ต้องทุ่มเท ระมัดระวังในการใช้เงิน ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ต่ออาชีพ ผมรับปากคุณพ่อว่าผมจะทำหน้าที่ในการเป็นตัวแทนประกันชีวิตอย่างดีที่สุด ผมจะสร้างความฝันให้เป็นความจริงให้ได้ ผมจะเริ่มต้นสร้างความสำเร็จบางอย่างในปี 2535 นี้ให้มีความชัดเจน ....ผมกราบลาคุณพ่อ เพื่อมาหาคุณแม่ที่บวชเป็นชีอยู่ที่วัดเขากระดี่ ตำบลธรรมามูล อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท เป็นช่วงเวลาที่พระสงฆ์และแม่ชีกำลังสวดมนต์ ผมนั่งฟังพระและชีสวดมนต์จนเสร็จ ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่มาทำบุญตักบาตรที่วัดแห่งนี้ เมื่อถึงช่วงเวลาฉันภัตตาหารเช้าของพระสงฆ์ และแม่ชี     ผมเข้าไปกราบแม่ชีสวาท ซึ่งแม่ชีสวาทได้มองมาที่ผม พอรู้ว่าเป็นผมที่กำลังเข้าไปหา ท่านก็เอ่ยถามว่า “ได้ยินข่าวว่าลูกชายจะลาออกจากราชการ ทำไมลาออกล่ะลูก รับราชการนั้นดีแล้ว....” ท่านเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอไหลออกมา  ผมจึงบอกแม่ชีไปว่า “แม่ชีครับ เห็นผมแต่งตัวไหมครับ ผมดูดีกว่าตอนรับราชการนะครับ”     แม่ชีสวาท ก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “อย่าแต่งตัวมาหลอกแม่เลย..อยากให้ลูกรับราชการมากกว่า...” ผมจึงบอกกับแม่ไปว่า “แม่ชีอย่าได้ร้องไห้เสียใจไปเลย ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้แม่ชีผิดหวัง ผมจะตั้งใจทำงานเพื่อสร้างความสำเร็จให้แม่ชีได้มีความชื่นใจ” แน่นอนครับ วันนั้นผมแต่งตัวเสื้อเชิ้ตผูกไทด์นั่งคุยกับแม่ชีที่วัด ผมทำให้ท่านต้องเสียน้ำตาต่อความรู้สึกเสียใจที่ลูกชายของท่านกำลังจะลาออกจากอาชีพราชการที่มีความมั่นคงสูง มาทำอาชีพเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตที่มีความไม่แน่นอนสูงในเรื่องของรายได้ และความมั่นคง..ในความคิดของคนทั่วๆไป ความกังวลใจของท่านย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ผมนั่งคุยและรอให้แม่ชีสวาทมีความสบายใจขึ้นมาระดับหนึ่ง พร้อมๆกับสายตาของผู้มาร่วมทำบุญที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ บนความคิดที่หลากหลายของแต่ละคน 



  เมื่อผมได้กราบลาแม่ชีสวาทเพื่อเดินทางกลับจากจังหวัดชัยนาท เพื่อขับรถมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ บ่าสองข้างของผมเริ่มหนักอึ้งขึ้น ขณะนี้ นับจากนี้ และต่อแต่นี้ ผมต้องไม่สร้างความผิดหวังให้บุพการีของผมต้องเสียใจอีกต่อไป ผมจะต้องสร้างความสำเร็จของงานนี้ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ผมจะต้องทำงานอย่างหนัก เพราะปีที่ผ่านมา ผมมีผลงานเพียง 25 รายปี มีค่านายหน้า 68,265 บาท ผมจะต้องสร้างผลงานให้ติดคุณวุฒิของบริษัทให้ได้สักหนึ่งคุณวุฒิเพื่อได้มีโอกาสลงประกาศในหนังสือพิมพ์ เช่นคุณวุฒิ MDC ,จำนวนรายประกันชีวิต ABCD ฯลฯ ผมต้องเลือกที่จะเป็น แล้วผมต้องเป็นให้ได้ในสิ่งที่ผมเลือก แล้วปี 2535 ผมก็ได้ลาออกจากการรับราชการทหารเรือ ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2535 เป็นตัวแทนเต็มเวลา สร้างผลงานและมีรายได้ 468,031 บาท ติดคุณวุฒิ MDC,75 รายประกันชีวิต ตัวแทนเกรด B ทำให้มีรูปลงหนังสือพิมพ์หลายฉบับ พร้อมมีโปสเตอร์ของบริษัทที่นำผู้ติดคุณวุฒิมาทำโปสเตอร์พิมพ์สี่สี แจกจ่ายไปทั่วประเทศ และผมก็นำไปให้คุณพ่อติดข้างฝาบ้านเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมให้กับผู้คนที่ผ่านมาแวะเวียนพูดคุย และคุณพ่อคุณแม่ได้อวดใครต่อใครว่า ลูกชายเป็นคนเก่งคนหนึ่งใน AIA หลายท่านคงสงสัยนะครับว่า แล้วจู่ๆ ผมก็กลายเป็นคนเก่งขึ้นมาได้อย่างไร? เคยล้มเหลว แต่ไม่ล้มเลิก เคยขายได้ตอนเป็นพาร์ทไทม์ 25 ราย มีรายได้ 68,265 บาท พอมาทำงานเป็นตัวแทนฟูลไทม์ในครึ่งปีบัญชีของปี 2535 มีผลงานมากขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัว มีรายได้มากกว่า 5-6 เท่า ผมทำอย่างไร ? ผมมีแนวคิดอย่างไร? และผมปฏิบัติงานแบบไหน...รอติดตามครับ

                                            โปรดติดตามตอนต่อไป
                            http://www.succession106.blogspot.com